สวัสดีครับ ผมเพิ่งมีโอกาสได้ออกเดินทางตามรอยพระพุทธบาทไปยังสถานที่ที่เค้าเรียกว่า 4 สังเวชนียสถาน หรือก็คือที่ ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรม และปรินิพพานของพระพุทธเจ้านั่นเอง ใช้เวลาทั้งหมด 9 วัน 8 คืน เริ่มต้นจากสุวรรณภูมิไปสู่ประเทศอินเดีย แวะไปค้างคืนที่เนปาล ก่อนจะไปจบทริปที่พม่า และจากนั้นจึงเดินทางกลับไทย
รายละเอียดการเดินทางจะเป็นยังไง และผมได้ค้นพบอะไรระหว่างเดินทางบ้าง มาติดตามไปพร้อมๆกันเลย 🙂
เริ่มการเดินทาง
ออกเดินทางสู่อินเดียด้วยสายการบิน เมียนมาร์แอไลน์ โดยเครื่องจะแวะรับ-ส่งผู้โดยสารที่พม่าก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางต่อไปอินเดียครับ เป็นเครื่องลำเดิมนะ แต่ต้องออกจากเครื่องไปนั่งเล่นรอในสนามบินก่อนราวๆหนึ่งชั่วโมง แล้วจึงเดินกลับขึ้นเครื่อง ก็ถอดเสื้อผ้าผ่านตม.กันอีกรอบ แต่ยังดีมีอาหารให้ทานบนเครื่องทั้งสองรอบเลยครับ อิ่มจุใจ
เมื่อมาถึงอินเดียแล้วเราก็เริ่มเดินทางสู่ 4 สังเวชนียสถาน หรือ 4 เมืองที่ตั้งสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนากันเลย
4 สังเวชนียสถาน
สถานที่ประสูติ : ลุมพินีวัน เนปาล
สถานที่ตรัสรู้ : พุทธคยา อินเดีย
สถานที่แสดงปฐมเทศนา : สารนาถ อินเดีย
สถานที่ปรินิพพาน : กุสินารา อินเดีย
แต่ละเมืองอยู่ห่างจากกันไม่มาก แต่การเดินทางในอินเดียค่อนข้างลำบากครับ ถนนส่วนใหญ่เป็นดินลูกรัง และเป็นถนนเส้นเล็กตัดผ่านหมู่บ้าน การเดินทางในระยะทางแค่ 300 กิโลเมตร อาจใช้เวลาถึง 10 ชั่วโมง เลยทีเดียว
แผนที่การเดินทางคร่าวๆ
จากจุดเริ่มต้นที่พุทธคยา และจุดสิ้นสุดก็คือพุทธคยาเช่นกัน เดินทางจนครบรอบระยะทางรวมก็ประมาณ 1000 กว่ากิโลเมตรครับ
ในการเดินทางครั้งนี้ สถานที่จะไม่ได้เรียงตามลำดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นะครับ เพื่อให้ได้บรรยากาศเดียวกันจะขอเล่าตามลำดับที่เพิ่งได้ไปมาละกันเนอะ เริ่มจากสถานที่แรกเลย “พุทธคยา” โดยผู้บรรยายให้ความรู้ตลอดทางคือพระอาจารย์ พระปลัดประวิทย์ ที่ได้นิมนต์ท่านจากเมืองไทยมาให้ความรู้กับพวกเราครับ
สถานที่ตรัสรู้ พุทธคยามหาเจดีย์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ในบรรดา 4 สังเวชนียสถาน เจดีพุทธคยา คือที่สุดของความสวยงาม และศูนย์รวมของพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกมุมโลกครับ ที่นี่จะมีคนเยอะตลอดทุกวัน ทั้งจาก ไทย พม่า ทิเบต ญี่ปุ่น เกาหลี รวมถึงจากฝั่งยุโรปก็มีให้เห็นอยู่มากมาย
องค์เจดีย์ความสูงราวๆ 50 เมตร รูปทรงและสถาปัตยกรรมอาจจะแตกต่างจากบ้านเรามากอยู่ ประดับบนยอดด้วยทองคำแท้ 250 กิโลกรัม ถวายโดยคนไทยครับ
พุทธศาสนิกชนจากหลายเชื้อชาติ หลายประเทศเดินทางมาสักการะเจดีย์ที่นี่ มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ค้างแรมที่นี่ครับ คือกางมุ้งนั่งสวดมนต์กันกลางสนามหญ้าเลยทีเดียว เรียกว่ามาที่นี่จะได้เห็นวิถีชาวพุทธจากทั่วทุกมุมโลกเลยครับ ทั้งบทสวนที่มีทั้งเหมือน และแตกต่างจากที่สวดในบ้านเรา ทั้งวิธีการกราบไหว้บูชาที่แตก่างกัน
“นักบวชบางรูปจะเดินวนรอบตัวเจดีย์ โดยทุกๆสามก้าวจะก้มลงกราบกับพื้น จากนั้นก็ลุกเดินต่ออีกสามก้าว แล้วก็ก้มลงกราบอีกที ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ”
ผมลองสังเกตดูแล้วใช้เวลาเกือบสิบห้านาทีต่อหนึ่งรอบครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเค้าเดินกี่รอบเพราะตลอดเวลาที่ผมอยู่บริเวณนั้นเกือบๆหนึ่งชั่วโมงก็ยังเห็นท่านเดินวนอยู่เลยครับ
อย่างในภาพนี้ก็เป็นอีกรูปแบบของการกราบครับ โดยจะไม่ใช่เบญจางคประดิษแบบบ้านเรา แต่จะเป็นการกราบลงไปทั้งตัว พูดง่ายๆก็คือนอนราบแบบคว่ำหน้าลงไปกับพื้น แล้วเหยียดแขนขึ้นไปสุดเลยครับ เรียกว่าการกราบแบบ อัษฎางคประดิษฐ์ โดยจะมีแผ่นไม้เตรียมไว้ให้สำหรับนอนกราบโดยเฉพาะครับ
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญของที่นี่ก็คือ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตามตำนานคือก่อนที่จะตรัสรู้พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญเพียรอยู่บริเวณนี้ตั้งแต่เวลาค่ำ จนย่ำดึกก็เดินมานั่งใต้ต้นโพธิ์นี้จนตรัสรู้ในที่สุดครับ เป็นที่น่าเสียดายว่าตอนนี้ไม่ใช่ต้นจริงแล้ว แต่เป็นหน่อที่สืบทอดมาจากต้นจริงอีกทีครับ อายุเพิ่งจะราวๆหนึ่งร้อยกว่าปีนี่เอง พระท่านว่าเป็นต้นรุ่นที่ 4 แล้วครับ ต้นรุ่นก่อนๆตายไปด้วยหลายๆเหตุ ทั้งการเมือง สงคราม และศาสนา
เสร็จจากพุทธคยาก็เข้าที่พักครับ ตลอดการเดินทางจะพักเกสเฮาส์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนอาหารเกือบทุกมื้อก็จะไปทานที่วัดไทยครับ ซึ่งทุกเมืองที่แวะไปจะมีวัดไทยอยู่ทุกที่เลย เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาที่นี่ก็เป็นคนไทยครับ ถ้าไม่ได้นอนโรงแรมก็สามารถขออาศัยนอนที่วัดได้ครับ และอาหารก็แจ้งล่วงหน้าไว้ก่อน ทางวัดก็จะจัดเตรียมไว้ให้ครับ ถือเป็นโชคดีเพราะว่าถ้าไม่ได้อาหารไทยจากทางวัดนี่ไม่รู้ว่าจะรับอาหารอินเดียกันทุกมื้อไหวรึเปล่า
อาหารแต่ะมื้อของแต่ละวัดก็จะแตกต่างกันไปเล็กน้อยครับ แต่ทั้งหมดก็จะเป็นมังสวิรัติ คือไม่มีเนื้อสัตว์เลยครับ จะเน้นที่ผักกับน้ำพริกที่มีเหมือนกันแทบทุกที่เลย ถือว่าผ่านไปอย่างสบายๆสำหรับเรื่องหาหารตลอดทริปครับ
อีกสถานที่นึงที่มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนาก็คือบ้านของนางสุชาดาครับ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเจดีย์พุทธคยา นางสุชาดาคือผู้ถวายข้าวมธุปายาสแก่พระพุทธเจ้า หลังจากที่พระพุทธเจ้าเลิกจากการบำเพ็ญทุกรกิริยา และถาดข้าวของนางสุชาดานี่เองที่พระพุทธเจ้านำไปลอยน้ำเสี่ยงทางว่า “ถ้าจะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้ถาดลอยทวนกระแสน้ำไป” ถาดก็ได้ลอยทวนกระแสน้ำไปด้วยแรงอธิษฐานนั่นเอง
เสร็จแล้วก็ออกเดินทางสู่ปลายทางต่อไป สถานที่แสดงปฐมเทศนา เมืองสารนาถ
สารนาถ ปฐมเทศนา อิสิปตนมฤคทายวัน
ตลอดการเดินทางจะใช้รถบัสเป็นหลักครับ และด้วยสภาพถนนของอินเดียการเดินทางไปแต่ละที่จะใช้เวลาค่อนข้างนานมาก ประกอบกับไม่ได้มีสถานที่พักรถแบบถนนหลวงบ้านเรา ดังนั้นเรื่องของการเข้าห้องน้ำจึงต้องอาศัยเข้าตามแต่ละสถานที่ที่เราแวะไป แต่หากระหว่างทางต้องการจะเข้าห้องน้ำก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าข้างทางครับ สำหรับผู้ชายคงไม่มีปัญหา ผู้หญิงก็ออกจะลำบากซักเล็กน้อย แต่ไม่ต้องห่วงครับ ทางผู้นำเที่ยวจะมีกระโจมเตรียมไว้ให้ ก็พอให้หายเขินไปบ้าง 555 และนี่คือห้องน้ำแรกของพวกเราครับ ตึกร้างข้างทางซักที่นึง
ระหว่างทางก็แวะที่วัดไทยอีกที่นึง ฝากท้องไว้อีกมื้อ ก่อนออกเดินทางก็ถวายปัจจัยเผื่อใช้สำหรับต่อเติมสรัางวัดต่อไปครับ
สภาพวัดที่เพิ่งจะเริ่มก่อสร้างได้ไม่นาน
ผ่านการเดินทางเกือบๆหกชั่วโมง (ระยะทางจริง 200 กิโลเมตร) ก็มาถึง สารนาถ ครับ สถานที่แสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าหลังจากท่านตรัสรู้ที่พุทธคยาก็ออกเดินทางมาจนถึงที่นี่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ปฐมเทศนา หรือ การแสดงธรรมครั้งแรก เป็นคำเรียกเทศน์กัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ ที่นี่ แขวงเมืองพาราณสี เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 หรือวัน อาสาฬหบูชา นั่นเอง
อีกสถานที่นึงที่มีชื่อเสียงในเมืองนี้ก็คือ แม่น้ำคงคา ซึ่งถึงจะไม่ได้มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับพระพุทธศาสนา แต่ก็ถือเป็นสถานที่ที่ควรแวะไปชมครับ โดยเราจะล่องเรือออกไปในตอนกลางคืน ผ่านไปในบริเวณที่มีการประกอบพิธีกรรมต่างๆของ พราหมณ์ ฮินดู และหนึ่งในนั้นก็คือการเผาศพที่ริมฝั่งน้ำนั่นเอง
ที่เห็นในภาพนั้น เปลวไฟหนึ่งกองก็คือศพหนึ่งศพครับ ความเชื่อของ พราหมณ์ ฮินดู ก็คือการที่ได้มาตาย และเผาส่งวิญญาณที่บริเวณริมแม่น้ำคงคานี้ ถือเป็นกุศลสูงสุดครับ เห็นตึกข้างหลังนั่นมั๊ยครับ ที่เหมือนจะเป็นโรงแรม ใช่ครับมันคือโรงแรม แต่ไม่ใช่สำหรับคนเป็นนะครับ เป็นโรงแรมสำหรับคนตาย หลายๆคนที่เคร่งในศาสนาจะขอมานอนตายที่นี่ครับ ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคานี้ โดยเมื่อตายแล้วญาติก็จะนำศพมาเผาตรงบริเวณนี้นี่เอง
อีกเรื่องจริงที่เจอก็คือในบริเวณใกล้ๆกับที่เผาศพนี้ก็จะมีคนมาอาบน้ำครับ ใช่ครับอาบน้ำ ใกล้ๆกันนี่ล่ะห่างไปไม่ถึงร้อยเมตร อาบแบบลงไปอาบทั้งตัวเลยนะครับไม่ใช่แค่ตักมาแปะๆตามตัว แต่อย่างนึงที่เค้าไม่ทำคือดื่มครับ ก็คงพอจะเห็นว่ามันไม่ควรดื่มเนอะ เพราะฉะนั้นน้ำในแม่น้ำคงคาที่เค้าจะใช้ดื่มกินเนี่ยจะมาจากต้นน้ำเหนือขึ้นไปจากจุดนี้ครับ ก็คงจะสะอาดกว่าแถวๆนี้แน่นอน
ในระหว่างล่องเรือกลับท่าครับ มีอีกสิ่งที่น่ากลัวกว่าการเผาศพข้างแม่น้ำครับ
“ศพผู้หญิงคนหนึ่งลอยผ่านหน้าไป ระยะห่างประมาณ สามเมตร”
ศพครับ ศพจริงๆไม่ใช่ตัวแสดงแทน ไกด์ครับชี้ให้ดู คงจะกลัวเราพลาดช๊อตเด็ด ช๊อคเลยครับ ไม่นึกว่าจะเจอแจ๊คพ๊อตขนาดนี้ เค้าบอกว่าน่าจะเป็นการฆ่าตัวตายครับ เพราะยังแต่งตัวครบ ไม่มีดอกไม้ไม่ได้ประดับเครื่องอะไรพิเศษ ไกด์ยังบอกอีกว่าพบเหตุการณ์แบบนี้ได้ตลอดครับ อเมซิ่งอินเดียเหลือเกิน ไม่มีภาพประกอบนะครับ จินตนาการเอาละกันเนอะ สามเมตร
จากนั้นก็เข้าที่พักครับ เจอเรื่องมามากมายหลับเป็นตายเลยครับ อ่อลืมบอกไป ช่วงก่อนที่จะเดินทางมานี่อินเดียอากาศกำลังดีนะครับ เช็คดูประมาณ 20-25 สบายๆเหมือนบ้านเรา พกมาแต่เสื้อยืดแขนยาว พอมาถึงเท่านั้นล่ะครับ หนาวเฉียบพลัน กลางคืนอุณหภูมิไม่ถึงสิบองศา กลางวันก็แทบไม่ต่างกันตลอดทริปไม่เคยเกิน 20 องศาครับ หนาวสุดๆไปเลยลูกพี่
ตื่นเช้าอีกวันแวะไปที่วัดไทยฝั่งตรงข้ามที่พัก จำชื่อวัดไม่ได้แต่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สวยมากครับ เลยเก็บภาพมา
จาก สารนาถ ก็เดินทางต่อไปเมือง สาวัตถี ครับ สถานที่ตั้ง วัดเชตวันมหาวิหาร
สาวัตถี วัดเชตวันมหาวิหาร ที่สุดของการจำพรรษา
อนาถบิณฑิกเศรษฐี หนึ่งในพุทธมามกะผู้มีส่วนสำคัญในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาครับ ท่านเป็นผู้สร้างวัดเชตวันมหาวิหารเพื่อถวายแก่พระพุทธเจ้า โดยใช้ทรัพย์สมบัติส่วนตัวไปทั้งสิ้นกว่า 54 โกฎิ หรือคิดเป็นเงินสมัยนี้ก็ราวๆ 540 ล้านบาทครับ
ความสำคัญของ วัดเชตวันมหาวิหาร ก็คือเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษาอยู่นานที่สุดครับ ถึง 19 พรรษา และสาเหตุที่ต้องใช้ทรัพย์สมบัติมากขนาดนั้นในการสร้างก็ไม่ใช่ด้วยตัววัดครับ แต่เป็นค่าซื้อที่ ซึ่งเดิมเป็นที่พระราชอุทยานสำหรับเสด็จประพาสของเจ้าเชต เจ้าชายในสมัยนั้น และขายที่โดยการให้นำทองมาปูให้เต็มพื้นที่ครับ ประมาณ 80 ไร่ ซึ่งก็ตีมูลค่าเฉพาะค่าทองคำที่ใช้ไปในการซื้อที่นี้ก็ราวๆ 18 โกฎิ แล้วครับ
อีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่อยู่ในเมืองนี้เช่นกันก็คือ องคุลีมาล ครับ ซึ่งบ้านของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี และ องคุลีมาล นั้นอยู่ใกล้กัน เลยได้แวะไปดูทั้งสองที่เลย
บ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
บ้านองคุลีมาล
ซึ่งปัจจุบันก็จะเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังอย่างที่เห็นครับ ลักษณะเดียวกันกับบ้านของ นางสุชาดา
อีกสิ่งนึงที่พบได้ตลอดการเดินทางมาที่นี่ก็คือ ขอทานเด็ก ครับ ซึ่งจะคอยมาขอเงินจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาตามรอยพระพุทธเจ้าตามแหล่งประวัติศาสตร์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทย ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องใจบุญ และชอบให้ทาน เด็กๆและขอทานที่นี่จึงจะพูดไทยได้เป็นคำๆเกือบทุกคนครับ เช่น “สวัสดี” “คนไทย” “ยี่สิบบาท” “มหาราขา” “มหารานี” บางคนแอดวานซ์หน่อยก็จะไม่พูดอะไร ท่อง อิติปิโส ภควา เดินตามหลังจนจบบทเลยครับ
ทั้งนี้ตามคำแนะนำของไกด์ก็คือ ไม่ควรให้ครับ เพราะเคยมีปัญหาพ่อแม่ของเด็กบางคนมาตำหนิว่าพอให้เงินเด็กก็จะไม่ไปเรียน เอาเงินไปเล่นพนัน อะไรทำนองนี้ ถ้าจะให้จริงๆก็ต้องฝากทางหัวหน้าไกด์เป็นคนให้จะดีกว่าครับ และให้เด็กมานั่งเรียงแถวเป็นระเบียบรอรับทีละคน ไม่อย่างนั้นจะมีแย่งกันตีกันแน่นอน
สถานที่ต่อไปที่เราจะเดินทางไปก็คือสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าครับ หรือก็คือ ลุมพินีวัน นั่นเอง
ประสูติ ลุมพินีวัน สถานที่สำคัญแห่งแรก
ลุมพินีวันตั้งอยู่ในประเทศเนปาลครับ ต้องนั่งรถข้ามประเทศซึ่งใช้เวลาเดินทางนานพอสมควรครับ เกือบๆ 10 ชั่วโมง เพราะช่วงที่ไปนั้นเนปาลกับอินเดียกำลังมีปัญหากันเรื่องชายแดนอยู่ จึงมีรถบรรทุกจอดรออยู่ข้างทางเยอะมากครับหลายร้อยคันเลย ถนนจากที่เล็กอยู่แล้วก็ยิ่งเล็กลงไปอีก รถสวนกันแทบไม่ได้ นั่งลุ้นตัวเกร็งกันเลยทีเดียว
ที่เห็นนี้คือรูปปั้นพระพุทธเจ้าวัยเด็กครับ ที่นี่เรียกว่า Baby Buddha ซึ่งก็จะมีให้เห็นอยู่ในหลายๆที่ของประเทศเนปาลครับ และเมื่อเดินเข้าไปข้างในก็จะเจออาคารที่ภายในมีรอยเท้าจำลองของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งประสูติครับ ซึ่งเชื่อกันว่าพระเจ้าอโศกเป็นผู้จำลองและเก็บรักษาไว้ที่นี่
ส่วนบ่อน้ำนี่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นบ่อน้ำที่พระนางสิริมหามายาเริ่มเจ็บพระครรภ์และเดินไปราวๆยี่สิบก้าวจนถึงใต้ต้นสาละ ซึ่งเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้านั่นเอง
ลุมพินีวัน เป็นอีกสถานที่นึงที่มีผู้คนจากหลากหลายชาติเดินทางมาสักการะ บูชา และนั่งสวดมนต์ทำสมาธิกัน จะเห็นนักบวชจากทั้งพม่า ทิเบต และอื่นๆอีกมากมาย รวมถึงนักท่องเที่ยวเดินทางกันมาไม่ขาดสายครับ
แต่ตรงนี้ก็ถือเป็นอีกเรื่องที่ต้องระวังครับ เพราะมีมิจฉาชีพจำนวนไม่น้อยที่จะปลอมตัวนุ่งจีวรแล้วคอยมาเรี่ยไรเงิน หรือแกล้งหลอกว่าจะนำเงินกลับไปสร้างโรงเรียน พัฒนาชุมชนต่างๆนานา ซึ่งโดยมากจะโกหกครับ ถ้าพบเห็นพระเดินมารูปเดียวแล้วเจตนาจะมาขอเรี่ยไรเลยก็ต้องสงสัยเอาไว้ก่อนครับ
ก่อนออกเดินทางเจอน้องหมานั่งหงอยอยู่เลยแอบเก็บภาพมาซะเลย
เสร็จจากที่นี่ก็เดินทางกลับอินเดียครับ มุ่งสู่เมือง กุสินารา สถานที่ที่พระพุทธเจ้า ปรินิพพาน
กุสินารา ปรินิพพาน สู่ตำนานนิรันดร
หลังจากกลับเข้าสู่ประเทศอินเดีย สถานที่แรกที่เราแวะไปก่อนจะเข้าเมืองกุสินารานั่นก็คือ วัดไทยนวราชรัตนาราม หรือรู้จักกันในนาม วัดไทย 960 ครับ สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัว เมื่อตอนเสด็จครองราชย์ครบ 60 ปี ครับ แวะมาทานข้าวและดูของฝากรวมถึงแวะทานของขึ้นชื่อของที่นี่ โรตีนมข้น ครับ
เชื่อมั๊ยครับว่าที่นี่อาจจะเป็นที่เดียวในอินเดียที่เราสามารถหากินโรตีแบบนี้ได้ เพราะโรตีแท้ๆของชาวอินเดียนั้นเค้าจะไม่กินกับนมข้นครับ จริงๆแล้วบ้านเค้าไม่มีนมข้นด้วยซ้ำ ต้องสั่งนมมาจากเมืองไทย เพื่อมาทำให้คนไทยทานโดยเฉพาะครับ 55 แล้วก็อร่อยมากๆเลย ทอดกันสดๆร้อนๆเลย ถ้วยที่เห็นในภาพนั้นทำมาจากใบสาละนะครับ เค้ามาอัดแห้งจนสามารถขึ้นรูปเป็นภาชนะได้ สุดยอดเลย ใครผ่านมาอย่าลืมแวะทานก่อนนะครับ ทานได้ฟรีไม่มีจำกัดเลย
พื้นที่ข้างๆบริเวณนี้เป็นทุ่งนาครับ สวยดี ที่อินเดียนี่เค้าจะปลูกพืชหลากหลายมากครับ คงเพราะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปี หน้าหนาวนี่ก็หนาวได้สุดๆถึงเกือบ 0 องศาบนพื้นราบ ส่วนหน้าร้อนอุณหภูมิก็สูงได้ถึง 50 องศา คือไหม้ตายกันได้เลยทีเดียว ปรับตัวกันไม่ถูกเลย
หลังจากทานเสร็จแล้วก็ออกเดินทางมาถึงเมืองกุสินาราครับ เดินทางมาถึงตอนค่ำก็เข้าที่พักกันก่อน และตอนเช้าก็ออกเดินทางไปยังสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าครับ
มหาปรินิพานสถูป
สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มหาสถูปนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของปูชนียสถานอื่นๆที่สร้างขึ้นภายหลังโดยรอบ
พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าจะบรรจุอยู่ในอาคารทรงกระบอกที่เห็นครับ สามารถเดินวนโดยรอบได้ สวดมนต์สักสามจบจนครบรอบเพื่อเป็นการแสดงความเคารพครับ ที่เมืองนี้ก็มีวัดไทยอยู่เช่นกันครับ ชื่อ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ซึ่งเป็นวัดที่มีความสวยงามเป็นอย่างมากครับ เมื่อวานเดินทางมาถึงมืดเลยไม่ทันได้เห็น แต่เช้านี้ได้มีโอกาสแวะไปอีกที จึงได้เห็นความสวยงามอย่างเต็มตา
วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์
รู้สึกถึงพลังงานอะไรบางอบ่างเดินผ่านรูปนี้ไป
เมื่อเสร็จจากที่นี่ก็ถือว่าได้มาครบทั้ง 4 สังเวชนียสถานแล้วครับ แต่ยังครับ ยัง! ยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีสถานที่อื่นอีกมากมายที่มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเราจะไปตามเก็บให้หมดครับ ยืดเส้นยืดเส้นกันซักแปปนึง แล้วออกเดินทางกันต่อเลย!
อีกเรื่องที่เป็นสุดยอดของอินเดียแถบนี้ก็คือการใช้รถใช้ถนนครับ คือแบบว่าถ้าบีบแตรหนึ่งครั้งได้เงินหนึ่งบาท วันนึงคงทำเงินกันได้เป็นล้านอะครับ คือพี่แกเล่นบีบแตรทุกสามเมตร และเป็นเหมือนกันทุกคันนะครับ จะรถเล็กรถใหญ่มอเตอร์ไซต์ สามล้อ เหมือนกันหมด และถนนเป็นของทุกคนจริงๆ ไม่สิๆ ไม่ใช่ทุกคนเท่านั้น แต่เป็นของทุกตัวด้วยครับ เพราะทั้งหมา แมว แพะ วัว กระรอก ลิง หมู คงรวมถึงไส้เดือนและกิ้งกือด้วย สามารถมีสิทธิใช้ถนนอย่างเท่าเทียมกัน
จะรถหรือคนก็มีสิทธิเดินกลางถนนได้ ต่อให้บีบแตรไล่แค่ไหนก็ไม่มีใครวิ่งข้ามนะครับ จะเดินเอ้อระเหยแบบชิคๆคูลๆ แถมมีมองค้อนด้วยนะ ยาวไปเลยลวกพี่ ถนนนี้ยกให้พี่เลยค้าบ หรือกระทั่งพ่อวัวแม่วัว ลูกวัว หรือเมียวัวก็ตาม สามารถนอนอาบสายลมและแสงแดดอ่อนๆกลางถนนได้อย่างสบาย ไม่มีใครมาไล่ ไม่มีรถคันไหนวิ่งชนนะครับ จะอ้อมจะโยกจะหลบจะบีบเลน หรือจะต้องหยุดให้ใครไปก่อนก็ต้องทำ เพราะน้องวัวเค้านอนอยู่ อย่าไปไล่เค้ามันไม่ถูกต้อง สมคำร่ำลือจริงๆ
อ่ออีกเรื่องนึงแห่งความซวยครับ คือช่วงตั้งแต่สองวันแรกที่ออกเดินทาง คืนหนึ่งในระหว่างที่กำลังวิ่งลัดเลาะผ่านหมู่บ้านกลางป่าซักแห่งนึงบนถนนลูกรังซุปเปอร์ไฮเวย์ ระดับความมันถ้าเป็นหนังก็คงจะ 4D สี่มิติกันเลยทีเดียวโยกกันทั้งคันรถ จู่ๆก็มีหินลอยมาจากไหนมิทราบได้ชนกับกระจกหน้าต่างข้างรถเข้าอย่างจัง เสียงดังเปรี๊ยะ! กระจกครับกระจก ร้าวทั้งบานลักษณะเป็นเม็ดข้าวโพด เป็นกระจกบานด้านข้างของรถครับ ซึ่งมันซวยตรงที่เป็นที่นั่งของผมพอดี โชคดีตรงที่มันไม่ได้ร่วงกราวลงมาครับ ยังค้างรูปอยู่ได้ แต่ตั้งแต่คืนนั้นจนจบทริปผมก็อดดูวิวข้างทางไปโดยปริยาย เพราะเค้าต้องเอาผ้าใบมากางปิดไว้แทน อนิจจาเหลือเกิน
นั่นล่ะครับ บานนั้นล่ะครับ ก็ต้องทำใจแล้วออกเดินทางต่อครับ
ปาวาลเจดีย์ สถานที่ปลงอายุสังขารของพระพุทธเจ้า
สามเดือนก่อนที่จะปรินิพพาน หรือตรงกับวันมาฆบูชา พระพุทธเจ้าได้ปลงสังขารที่นี่ ณ ร่มไม้แห่งหนึ่งในปาวาลเจดีย์ แขวงเมืองไพศาลี (ไวสาลีปัจจุบัน) ซึ่งการปลงอายุสังขารก็มีความหมายในภาษาสามัญว่า การกำหนดวันตายไว้ล่วงหน้านั่นเองครับ
อีกอย่างนึงที่สังเกตเห็นได้ตลอดการเดินทางคือสภาพบ้านเมืองครับ ที่ค่อนข้างทรุดโทรม ชาวบ้านยากจนเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกที่จะมีขอทานอยู่อย่างมากมาย ส่วนหนึ่งก็เพราะอินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากจีนเท่านั้นเอง และด้วยการที่ไม่มีนโยบายคุมกำเนิดทำให้ในอนาคตอันใกล้นี้ อินเดียอาจจะมีประชากรมากกว่าจีนก็เป็นได้ครับ นั่นจะยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากขึ้นไปอีก
สถานที่ต่อไปเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสวยอาหารมื้อสุดท้ายครับ พระองค์ได้เสวยภัตตาหารมื้อสุดท้ายที่นายจุนทะกัมมารบุตรถวาย ภัตตาหารมื้อสุดท้ายนี้มีชื่อเป็นภาษาบาลีว่า สูกรมัททวะ ซึ่งแปลตามศัพท์ว่า สุกรเนื้ออ่อน ตามตำนานเชื่อว่าเป็นอาหารที่เทวดาบันดาลมาให้ครับ และจะฉันได้เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น จำชื่อเรียกสถานที่นี้ไม่ได้ แต่ก็ถือเป็นอีกสถานที่สำคัญครับ
ในแต่ละที่ที่แวะไปก็มักจะมีห้องน้ำให้ใช้บริการครับ บ้างก็ฟรี บ้างก็ 10 รูปี (ประมาณ 5 บาท) แต่ด้วยสภาพแล้วแนะนำว่าผู้ชายให้เข้าข้างทางเอาจะสะดวก และดูสะอาดกว่าครับ เพราะฉะนั้นทิชชู่เปียกเนี่ยช่วยชีวิตได้ดีเลยล่ะ พกติดตัวไว้ตลอดเส้นทางครับ อุ่นใจ
วัดกูฏาศาลาป่ามหาวัน
มีเหตุการณ์สำคัญมากมายเกิดขึ้นที่นี่ครับ หนึ่งในนั้นก็คือ ภิกษุณีรูปแรกได้บวชที่นี่ซึ่งก็คือ พระนางปชาบดีโคตรมี นั่นเอง ซึ่งตามตำนานแล้วพระนางได้ทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้าอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่สุดท้ายได้พระอานนท์ช่วยทูลขออีกทางจนได้บวชในที่สุดครับ
นักบวชและผู้แสวงบุญจากหลายเชื้อชาติก็เดินทางมาที่นี่อย่างไม่ขาดสาย เพราะนอกจากจะเป็นที่บวชภิกษุณีรูปแรกแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ริเริ่มการเข้าพรรษาอีกด้วย ก็ตามตำนานเช่นเคยเมื่อครั้งอดีตช่วงเข้าสู่ฤดูปลูกพืชทำไร่ทำสวน ชาวบ้านก็หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้มากมาย แต่กลับถูกหมู่พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่บริเวณนั้นๆเดินเหยียบย่ำจนสร้างความเดือดร้อน ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า ท่านจึงบัญญัติการเข้าพรรษาขึ้นมานี่เองครับ
อีกมุมตรงทางออกครับ ตรงมุมขวาล่างจะเห็นนกกะรางหัวขวานอยู่ เห็นมันเดินเล่นอยู่สองตัวครับแต่ถ่ายไม่ทัน ติดมาตัวเดียวกำลังจะหลุดเฟรมเลย
เริ่มเบื่อกันรึยังครับ พักสายตากันหน่อยมั๊ย พอดีว่าช่วงที่ผมไปเนี่ยบังเอิญได้เจอกับคณะแสวงบุญอีกคณะนึงครับ ซึ่งมีนักร้องนักแสดงหลายๆท่านมาด้วย หนึ่งในนั้นคือ คุณปอย ตรีชฎา ครับ ก็เลยขอถ่ายรูปมา เรียกว่าดวงตาเห็นธรรมกันเลยทีเดียว 😀
ที่อินเดียนี่ในหลายสถานที่ที่ไปก็จะมีคนท้องถื่นมาเที่ยวเช่นกันครับ สอบถามจากไกด์แล้วเค้าบอกว่าในวันหยุด หรือเสาร์อาทิตย์เนี่ยชาวอินเดียเค้าก็จะชวนกันมาเดินเล่นครับ ตามสวนสาธารณะ ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ส่วนหนึ่งเพราะเค้าไม่มีห้างสรรพสินค้า ไม่มีแหล่งช๊อปปิ้งเหมือนบ้านเรา ที่สำคัญคือในช่วงกลางคืนเนี่ยสองสามทุ่มก็ปิดบ้านนอนกันหมดแล้วครับ เพราะกลางคืนก็ไม่ได้มีแหล่งบันเทิงที่ไหน และเค้าก็ไม่ดื่มแอลกอฮอล์กันด้วยครับ
เรื่องนึงที่ชวนสงสัยก็คือเวลาคนอินเดียเค้าเห็นนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนไทยเนี่ยเค้าจะชอบมามุงดูครับ บางทีก็มาขอถ่ายรูปด้วย มีทั้งเอากล้องมาเอง หรือขอเข้ามาอยู่ในกล้องเราด้วย แต่เค้าก็ยิ้มแย้มดีนะครับ ดูเป็นมิตรดี ไม่ได้หน้าบึ้งตึงเหมือนที่คิดไว้ และช่วงที่ผมไปก็เจอกลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษาครับ เด็กๆกำลังมุงดูคณะเราถ่ายรูปอยู่ เห็นแล้วตลกดีเลยเข้าไปขอถ่ายรูปด้วยซะหน่อยครับ แหกเข้าไปเลยกลางวง แล้วก็ร้องพุทโธพร้อมกานนน เอ้า พุทโธ
คุยกันไม่รู้เรื่องเลยครับ มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก็โบกมือบ๊ายบายกันตามภาษาสากล สนุกดี 😀
ออกเดินทางต่อครับ ไหนๆก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงนี่แล้ว จะหยุดแค่ 4 สังเวชนียสถานก็ใช่เรื่องครับ นั่งโยกหัวเป็นชาวร๊อคพร้อมกันทั้งคณะต่อไปอีกหลายๆที่ และที่ต่อไปก็คือสถานที่ที่เราคุ้นชื่อกันดี เขาคิชฌกูฏ ตั้งอยู่ในเมือง ราชคฤห์ หรือเมืองของ พระเจ้าพิมพิสาร นั่นเอง
เขาคิชฌกูฏ ราชคฤห์
บนเขาคิชฌกูฏนี้มีสถานที่สำคัญอยู่หลายแห่งครับ ทั้ง ถ้ำของพระสารีบุตร ซึ่งเป็นที่ที่บรรลุอรหันต์ ถ้ำของพระโมคคัลลานะ กุฏิของพระอานนท์ และ มูลคันธกุฏี ซึ่งเป็นกุฏิของพระพุทธเจ้านั่นเองครับ
พอดีวันที่มาเป็นวันอาทิตย์ จึงมีคนมาเยอะมากครับ ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น ที่สำคัญคือมีขอทานเยอะมากครับ ทางเดินลาดชันขึ้นราวๆ 800 เมตร มีขอทานอยู่ตลอดทางทุกๆห้าหกเมตรเลยครับ รวมๆแล้วน่าจะถึงร้อยคน คือเยอะมาก
บุคคลในประวัติศาสตร์อีกท่านนึงที่เคยเดินทางมาที่เขาคิชฌกูฏนี้ก็คือ พระถังซัมจั๋ง ครับ ตามบันทึกของท่าน ท่านมาถึงที่นี่เมื่อปี พ.ศ.2174 ในระหว่างเดินทางก็เห็นวิวบางส่วนที่ชวนให้นึกถึงเรื่องไซอิ๋วเหมือนกันนะ จินตนาการถ้าอยู่ๆมีซุนหงอคงโผล่มาคงจะสนุกดี
อีกอาชีพนึงที่มีเยอะมากๆเช่นกันก็คือนักขายของครับ ทุกที่ที่ไป ทุกแหล่งที่รถบัสจอดก็จะมีนักขายเหล่านี้รุมกันเข้ามาหาครับ พูดไทยได้เป็นคำๆเช่นเคย “อันนี้ร้อย” “อันนี้สองร้อย” รับทั้งเงินไทยเงินรูปีครับ ต่อราคาได้ครึ่งๆกันเลย แต่ระวังอย่าไปต่อราคาตอนเค้าอยู่กันเยอะๆนะครับ เพราะบางครั้งเกิดการตัดราคาต่อหน้ากันเนี่ยเค้าต่อยกันเลยนะครับ เจอมากับตัวเลยต่อหน้าต่อตา ต่อยกันแบบไม่สนใจใครแล้ว ข้าวของที่จะเอามาขายขว้างปาทิ้งขวางเสียหายหมดเลย ดิบมากจ้า
เกือบทั้งภาพนั่นล่ะบรรดานักขาย พ่อยอดเซลแมนสายสตรอง แต่เรื่องนึงที่น่านับถือคือทั้งขอทานทั้งคนขายของนี่เค้าจะไม่มีการขู่กรรโชกนะครับ ไม่มีแม้แต่มาแตะต้องตัวเลยครับ อาจจะสร้างความรำคาญนิดหน่อยแต่เค้าจะไม่มีมายืนขวางทางครับ เรียกว่ามีระเบียบเรียบร้อยดีมากๆเลย
เช้าๆอากาศหนาวครับ ก็มีมานั่งผิงไฟกันบ้าง
จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังวัดแห่งแรกในทางพระพุทธศาสนา วัดเวฬุวันมหาวิหาร
วัดเวฬุวันมหาวิหาร วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
เวฬุวัน แปลว่า ป่าไผ่ ครับ ซึ่งในบ้านเราก็จะรู้จักกันในชื่อ วัดไผ่ล้อม ความสำคัญของที่นี่ก็คือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่พระสาวกจำนวน 1,250 รูป แล้วส่งไปเป็นพระธรรมทูตประกาศพระศาสนา อันเป็นที่มาของ วันมาฆบูชา นั่นเอง
มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก
มหาวิทยาลัยนาลันทา เชื่อว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ.3 หรือ สองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนครับ ตามตำนานเชื่อว่าเคยมีพระภิกษุอยู่ศึกษาที่นี่ถึง 10,000 รูปเลยทีเดียว แต่ในที่สุดก็สูญสลายไปในปี พ.ศ.1742 ด้วยความแตกต่างของศาสนาครับ ทำให้เกิดสงครามเมื่อครั้งอดีต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาสูญหายไปจากอินเดียถึงกว่า 800 ปี และในปัจจุบันก็มีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ในอินเดียเพียง 2% ครับ
ที่เมืองนี้จะมีรถม้าคอยให้บริการอยู่เยอะมากครับ หากอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็สามารถใช้บริการได้ ซึ่งค่าบริการก็ไม่แพงครับตกคนละ 20 รูปี หรือราวๆสิบบาทเท่านั้นเอง แต่ต้องรวมกัน 5 คนขึ้นไปนะครับ และราคาก็อยู่ที่ต่อรองกันอีกนั่นล่ะ
และนี่ก็เป็นสถานที่สุดท้ายในอินเดียที่ได้ไปครับ หลังจากนี้ก็จะเดินทางต่อไปยังพม่า โดยใช้บริการ สายการบินเมียนมาร์ ขึ้นเครื่องที่สนามบินพุทธคยา ตามเดิมครับ อาหารมื้อสุดท้ายก็ใส่ห่อไปกินที่สนามบินรอขึ้นเครื่องครับ เพราะที่สนามบินนี่ยังค่อนข้างใหม่ และแทบไม่มีอะไรขายเลยครับ
ใครจะซื้อของฝากก็แนะนำให้ซื้อกับนักขายมือทองที่มาตามรถของเราได้เลยครับ ต่อราคาจนพอใจแล้วก็ซื้อได้เลย ที่สำคัญหลังจากซื้อแล้วอย่าไปถามราคากับคนอื่นๆที่ซื้อมานะ จะช้ำใจกันเปล่าๆ 555 เพราะบางคนได้มาร้อยนึง อีกคนอาจจะได้ที่ 50 ก็เป็นได้ครับ ของฝากส่วนมากก็เป็นพวกรูปภาพแสดงสถานที่ตามพุทธประวัติต่างๆ ผ้าพันคอ หรือของประดับเล็กๆน้อยๆครับ แนะนำรูปภาพครับ เพราะซื้อกลับมาแล้วเท่าไหร่ก็แจกหมด ตกใบละประมาณสิบบาทเท่านั้นเอง เป็นภาพขนาด A4 แผ่นใหญ่ สีทองบ้างสีเงินมาก สวยคุ้มค่ามากๆครับ
เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางสู่เป้าหมายสุดท้าย เมียนมาร์ ชเวดากอง
พม่า มหาเจดีย์ชเวดากอง
พม่า เป็นอีกประเทศนึงที่ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากครับ มีมหาเจดีย์ และพระธาตุอยู่ตามเมืองต่างๆมากมาย แต่เนื้องจากเวลาที่จำกัดเพียงแค่วันเดียวเลยไม่ได้ไปไหนนอกจากย่างกุ้งครับ แจะเจดีย์ที่สำคัญที่สุดก็อยู่ที่นี่ มหาเจดีย์ชเวดากอง
ตามตำนานเล่าว่าเมื่อกว่าสองพันหกร้อยปีก่อนมีพ่อค้าชาวพม่าสองคนที่มีโอกาสได้พบกับพระพุทธเจ้า และเกิดความเลื่อมใส จึงได้ขอพระเกศาของพระพุทธเจ้ามาเพื่อนำมาบูชาไว้ที่พม่าครับ และเมื่อกลับมาก็ได้ฝังพระเกศาไว้ในดิน และสร้างเป็นเจดีย์ชเวดากองนี่ขึ้นมา ตัวเจดีย์ก็ได้ถูกบูรณะเรื่อยมาจนมีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบัน จึงเป็นอีกสถานที่ที่มีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาเยี่ยมชม
และก็เสร็จสิ้นเพียงเท่านี้ครับสำหรับการเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ ได้ทั้งแง่คิด หลักธรรม คำสอน พร้อมทั้งประวัติศาสตร์มากมาย สิ่งหนึ่งที่ผมชอบที่สุดก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “จงอย่าเชื่อ เพียงเพราะเขาบอกต่อๆกันมา จงอย่าเชื่อ เพียงเพราะผู้มีปัญญาบอกกล่าว จงอย่าเชื่อ หากยังมิได้พิสูจน์เรื่องราว จงอย่าเชื่อแม้แต่คำที่พระพุทธเจ้ากล่าวเอง” พระพุทธเจ้าสอนเสมอว่าพึงมี สติ สมาธิ แล้วปัญญาจะเกิด ให้พินิจพิเคราะห์พิจารณาทุกเรื่องด้วยจิตอันเป็นกุศลครับ หรือก็คืออย่าหลงงมงายและยอมให้ใครหลอกง่ายๆจนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตนเองครับ
ทัวร์นี้ถึงไม่ได้สุขกายแต่ก็สบายใจอย่างมากครับ เป็นอีกประสบการณ์ที่ดี เลยอยากจะมาถ่ายทอดโดยทั่วกันครับ หากมีผิดพลาดตรงไหนก็ต้องขออภัยด้วยนะครับผม แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ 🙂
เขม | ธันวาคม 2558